คุณกำลังมองหาวิธีการปรับปรุงการจัดการพนักงานร้านอาหารของคุณอยู่หรือไม่?
หรือยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นอย่างไร?
เมื่อคุณเริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหาร บางครั้งคุณอาจจะต้องสวมบทบาทเป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับร้านอาหารขนาดเล็ก
คุณจะต้องเผชิญกับความท้าทายสุดหิน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ไปเสียทีเดียว!
ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับหน้าที่ต่างๆ ของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลร้านอาหาร เคล็ดลับเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาทักษะการจัดการพนักงาน และอื่นๆ อีกมากมาย
คู่มือนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้มากนัก และก็ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหารอยู่แล้วอีกด้วย
มาเริ่มกันเลย!
ควรเลือกพนักงานร้านอาหารอย่างไร?
หน้าที่ที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของร้านอาหารคือ การจ้างพนักงาน
อันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพูดถึงเรื่องนี้ — เราเคยพูดถึงเรื่องนี้อย่างละเอียดใน สุดยอดคู่มือในการสรรหาและจัดการบริกร
อย่างไรก็ตาม นอกจากการจ้างพนักงานจะเป็นเรื่องยากแล้ว ยังต้องอาศัยทั้งพลังกายและพลังใจเป็นอย่างมาก
คุณจะตัดสินอย่างถูกต้องได้อย่างไรว่า คนคนหนึ่งนั้นเหมาะสมกับตำแหน่งที่เราต้องการ?
ดังนั้น คุณต้องดูคนให้ออก ผ่านการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว หรือสัมภาษณ์ทางวิดีโอ หรืออื่นๆ
ต่อไป จะเป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรพิจารณา
สร้างระบบการจ้างพนักงาน
เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ การว่าจ้างพนักงานสามารถจัดการให้เป็นระบบได้
นี่คือสิ่งที่คุณควรทำ:
1. ศึกษาตำแหน่งของพนักงานที่คุณต้องการ:
คุณต้องศึกษาตำแหน่งและหน้าที่ของพนักงานที่คุณต้องการอย่างถ่องแท้ เพื่อให้ทราบว่าคนแบบไหนที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นๆ และทักษะใดที่พวกเขาควรจะต้องทำได้ดี
2. เขียนรายละเอียดงานอย่างตรงไปตรงมา:
หลายคนพลาดที่ไม่ได้แจ้งผู้สมัครอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับบทบาทที่พวกเขาจะได้รับเมื่อถูกรับเข้าทำงาน นี่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อที่จะทำให้ได้ผู้สมัครที่ตรงต่อความต้องการจริงๆ!
3. สร้างคุณสมบัติของพนักงานในอุดมคติ:
ขอแนะนำให้คุณสร้างคุณสมบัติของพนักงานในอุดมคติ รวมถึง ทักษะ และความสามารถอื่นๆ ที่พนักงานพึงมีเพื่อสามารถทำงานในตำแหน่งนั้นๆ ได้อย่างมีคุณภาพ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแนวทาง - จำไว้ว่าในโลกนี้ไม่มีคนสมบูรณ์แบบ และไม่มีคนที่สามารถทำทุกอย่างได้ เพราะอย่างนี้เราจึงต้องมีการอบรม!
4. เริ่มการสรรหาบุคคลที่มีศักยภาพ:
คุณสามารถประกาศรับสมัครงานผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ บนเว็บไซต์ หรือผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของร้านอาหาร เพื่อเสนองานให้กับคนที่สนใจและมีคุณสมบัติ ที่สำคัญ อย่าลืมให้ข้อมูลติดต่อกลับด้วย!
5. รับเรซูเม่และใบสมัคร:
เรซูเม่ ไม่ว่าจะเป็นแบบเอกสารหรือแบบดิจิทัล เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการตรวจสอบว่าผู้สมัครแต่ละคนมีทักษะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งนั้นๆ หรือไม่
6. เปรียบเทียบผู้สมัคร:
ทำการเปรียบเทียบผู้สมัคร — และเปรียบเทียบกับสมบัติของพนักงานในอุดมคติที่ได้ร่างเอาไว้ก่อนหน้า
7. สัมภาษณ์ผู้สมัครที่มีศักยภาพ:
นี่เป็นพื้นฐานของกระบวนการคัดเลือก นอกเหนือไปจากการสังเกตการตอบคำถามและทัศนคติของผู้สมัคร คุณควรถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง นอกจากนี้ คุณควรสังเกตลักษณะส่วนบุคคลของพวกเขาด้วย เราสามารถบอกได้ว่าคนใดมีคุณสมบัติและมีศักยภาพผ่านบุคลิกภาพและทัศนคติของเขา!
8. ทดลองงาน:
ขั้นตอนการทดลองงานเป็นเพียงทางเลือก และมักมีก็ต่อเมื่อมีพนักงานประจำในตำแหน่งนั้นอยู่แล้ว
9. ตัดสินใจ:
ขั้นตอนสุดท้ายคือการเลือกผู้สมัครที่มีศักยภาพมากที่สุด!
หากมีการทดลองงาน คุณควรรับฟังความคิดเห็นของพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่ในทีมและได้ทำงานร่วมกัน
เพราะอย่างไรแล้ว ในท้ายที่สุด คนที่คุณจ้างมา จะไม่ได้ทำงานภายใต้การดูแลของคุณโดยตรง
คุณสมบัติของลูกจ้างที่ดี
บ่อยครั้งที่เรามุ่งเน้นไปที่ทักษะมากกว่าคุณภาพ แต่พนักงานที่ดีควรมีความสมดุลของทั้งสองอย่าง
ต่อไปนี้คือคุณสมบัติของพนักงานที่ดีที่คุณควรมองหา:
1. กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และเชี่ยวชาญในสิ่งที่ตำแหน่งต้องการ
บางครั้ง ดีกว่าที่จะจ้างคนที่ไม่มีประสบการณ์แต่มีความกระตือรือร้นและอยากรู้อยากเห็นในการเรียนรู้ ดีกว่าจ้างคนที่รู้ทุกอย่างที่คุณต้องการ แต่หยิ่งทะนงและเอาแต่ใจตัวเอง
2. มีจรรยาบรรณในการทำงานที่ดีและทำงานเชิงรุก
พนักงานต้องมีความกระตือรือร้นและแสวงหาแนวทางแก้ไขเมื่อพบปัญหาต่างๆ
นอกจากนี้ พนักงานในอุดมคติไม่เพียงแต่ปรับปรุงตัวให้เข้ากับงานที่กำหนดไว้เท่านั้น แต่ยังต้องมองหาวิธีที่จะปรับปรุงในสิ่งที่เขาทำ และปรับปรุงในส่วนของกระบวนการด้วย
3. ความเห็นอกเห็นใจและการคิดถึงผู้อื่น
คนที่เอาใจใส่เพื่อนร่วมงานจะสามารถทำงานและสร้างความสัมพันธ์ได้ดี
4. ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานร้านอาหารทุกคน
เราต้องสามารถวางใจได้ว่า พนักงานแต่ละคนจะทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย!
5. แนวโน้มการทำงานเป็นทีม
คนที่ชอบทำงานคนเดียว พยายามแข่งขัน และชอบล้อเลียนความผิดพลาดของเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะช่วยเหลือกัน จะไม่มีวันทำงานร่วมกับทีมได้
พนักงานในอุดมคติมักจะมองหาโอกาสที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน ให้การสนับสนุนเมื่อจำเป็น นั่นเป็นเหตุผลที่เรียกว่ากองพลครัว!
ฝึกอบรมบุคลากรใหม่แบบค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อฝึกอบรมบุคลากรใหม่ คุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือสามารถมอบหมายงานนี้ให้กับบุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมาชิกใหม่จะมาเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการฝึกอบรมมีระบบระเบียบ ละเอียดถี่ถ้วน และเป็นขั้นเป็นตอน
วิธีนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงการป้อนข้อมูลมหาศาลให้กับพนักงานใหม่ในคราวเดียว
สำหรับการดำเนินการ ให้พิจารณาทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. สร้างระบบการฝึกอบรมหรือวางแผนสำหรับแต่ละกองพลในร้านอาหาร
นี่เป็นกระบวนการที่สามารถจัดระบบได้ง่าย
ในการสร้างแผนการฝึกอบรม ให้เริ่มจากเขียนรายการกิจกรรม จากนั้นจัดระเบียบกิจกรรมจากง่ายไปหายาก ในขั้นตอนนี้ ควรปรึกษาขอความเห็นจากพนักงานประจำ
จากนั้นตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้สอนพนักงานที่ดูแลแต่ละกิจกรรมอย่างละเอียด อย่าลืมแบ่งปันข้อมูลสำคัญและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ แน่นอน คุณสามารถมอบหมายงานนี้ให้กับผู้ปฏิบัติงานคนอื่นได้!
2. สอนด้วยตัวอย่าง
ขั้นตอนนี้เข้าใจได้ง่าย เพียงทำกิจกรรมหรือปฏิบัติงานที่คุณต้องการสอนพนักงานใหม่ต่อหน้าพวกเขา!
นอกจากนี้ คุณควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา อย่างเช่น เคล็ดลับ กลเม็ด และอื่นๆ เพื่อให้สาารถทำงานได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงานไปด้วย
3. กำกับดูแลการอบรมอย่างใกล้ชิด
นี่เป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญที่สุดของช่วงการฝึกอบรม
หลังจากที่คุณได้แสดงให้พนักงานเห็นถึงวิธีการทำงานแล้ว ก็ถึงเวลาให้พวกเขาลองทำด้วยตัวเอง
อย่าลืมแก้ไขข้อผิดพลาดและติดตามกิจกรรมที่มีความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด มันจะช่วยให้หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุในอนาคตได้!
4. อธิบายกฎอย่างละเอียด
ขั้นตอนการฝึกอบรมเป็นเวลาที่เหมาะสมในการอธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่พนักงานต้องปฏิบัติตาม
คุณต้องอธิบายผลที่ตามมา บทลงโทษ และอื่นๆ หากไม่ปฏิบัติตาม
พยายามอย่าข่มขู่ แต่ให้พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแทน
5. ทำซ้ำขั้นตอนการฝึกอบรมก่อนเริ่มงาน
เมื่อพนักงานได้ดำเนินกิจกรรมตามแผนแล้วหนึ่งหรือสองครั้ง คุณสามารถจัดการฝึกอบรมซ้ำ – ในฉบับที่รวบรัดกว่า – เพื่อตรวจสอบว่าทุกอย่างถูกต้อง
6. มอบหมายที่ปรึกษาให้กับพนักงานใหม่
การสอนงานไม่ได้สิ้นสุดเมื่อพนักงานสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย
ในทางตรงกันข้าม คุณจะต้องมอบหมายที่ปรึกษาชั่วคราวให้กับพนักงานแทน
วิธีนี้ทำได้ง่าย เพราะหากว่าคุณขอความร่วมมือจากพ่อครัวหรือผู้ช่วยในครัว พวกเขาจะต้องตอบกลับบุคคลที่มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน แผนผังองค์กรร้านอาหาร
ในกรณีของพนักงานเสิร์ฟหรือพนักงานทำความสะอาด คุณสามารถมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับพนักงานในตำแหน่งเดียวกันที่มีประสบการณ์มากกว่า
คุณยังสามารถใช้โอกาสนี้ในการประเมินประสิทธิภาพของทั้งพนักงานใหม่และพนักงานเก่าได้!
ความสามารถในการสื่อสาร
ทุกคนในพนักงานของร้านอาหารควรมีทักษะในการสื่อสารที่ดี ซึ่งรวมถึงหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลของร้านอาหารด้วย
เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารของคุณในฐานะผู้จัดการ คุณจะต้องทำหลายสิ่งหลายอย่างไปพร้อมๆ กัน
นี่คือเคล็ดลับที่จะเป็นประโยชน์กับคุณ:
- พยายามสื่อสารทุกครั้งที่คุณมีโอกาส ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นคุณควรจะได้รับรู้!
- พูดคุยกับสมาชิกในทีมบ่อยๆ
- อย่าคุยแต่เรื่องงาน!
- สร้างขอบเขตว่าคุณจะเป็นมิตรได้เมื่อใดและอย่างไร — ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นมืออาชีพไว้
- พยายามจำชื่อทุกคน มันอาจจะเป็นเรื่องยากหากคุณมีพนักงานจำนวนมาก ดังนั้นลองจำชื่อคนที่คุณสนิทที่สุด (หรือใช้แท็กชื่อ แบบที่ไม่เป็นทางการ)
- ชัดเจนในคำสั่งของคุณเสมอ
- ส่งเสริมการวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ต่อได้
- ถามคำถาม!
- ถามซ้ำตัวเองมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน และหยุดเมื่อคิดว่ามันเริ่มน่ารำคาญ!
- พูดอย่างถูกต้องและใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม
เคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารของคุณ
ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม
การส่งเสริมการทำงานระหว่างทีมต่าง ๆ ของร้านอาหารจะช่วยพัฒนาการดำเนินงานของพวกเขาได้อย่างดี
ซึ่งส่งต่อผลอย่างมากต่อ:
- ความรวดเร็วและคุณภาพของการให้บริการ
- ความเร็วในครัว
- ประสิทธิภาพของพนักงานทำความสะอาด
- ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานประเภทต่างๆ
- และความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ทำเพียงแค่วันเดียว ความสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
คุณต้องมีกลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายด้วย
ด้านล่างนี้ จะเป็นเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ในที่ทำงานและการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานของคุณ
1. สร้างความสัมพันธ์แบบครอบครัว
การทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งสำคัญ พนักงานร้านอาหารทุกคนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี
ดังนั้นควรสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานของคุณ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว
บ่อยครั้ง ถ้าคุณจ้างคนที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
2. ส่งเสริมกิจกรรมของพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน
หนึ่งในวิธีที่จะสร้างความสัมพันธ์แบบมิตรภาพและความเคารพ คือการส่งเสริมกิจกรรมที่ไม่เป็นทางการระหว่างพนักงาน
ยกตัวอย่างเช่น งานเลี้ยงวันเกิด พบปะกันหลังเลิกงาน และอื่นๆ จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้
ในบางกรณี ถ้าคุณสามารถจัดการได้ คุณสามารถดำเนินกิจกรรมขนาดใหญ่ เช่น การออกทริป หรือการรวมตัวเพื่อรับประทานอาหาร
ลองคิดอะไรที่แปลกใหม่ มันจะช่วยคุณได้!
3. ใช้การเสริมแรงเชิงบวก
สิ่งสำคัญคือต้องชมเชย ส่งเสริม และแม้แต่ให้กำลังใจพนักงานในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม พยายามอย่าแสดงความยินดีกับพนักงานเพียงคนเดียว แต่ให้แสดงความยินดีกับทีมที่ทำให้ร้านอาหารดำเนินกิจการได้
4. ระบุบทบาทและแนวทางการสื่อสาร
การระบุบทบาทและตำแหน่งของพนักงานแต่ละคนมีความสำคัญต่อพวกเขาในการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน
นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากพนักงานมีข้อสงสัย คำถาม และอื่นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำจะสามารถหาคำตอบได้
ตัวอย่างเช่น หลังจากที่คุณจ้างพนักงานใหม่ พวกเขาไม่ควรพูดเฉพาะกับบุคคลที่พวกเขาเชื่อถือหรือผู้ว่าจ้าง
แต่พวกเขาควรสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน และทุกๆ คน - และหากเป็นไปไม่ได้จริงๆ ค่อยลองคุยกับผู้จัดการแบบส่วนตัว
5. ลงโทษการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง และการล่วงละเมิดในที่ทำงาน
เช่นเดียวกับธุรกิจหรือบริษัทอื่นๆ ร้านอาหารดำเนินกิจการได้โดยมีตำแหน่งหน้าที่ ทำให้เลี่ยงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอำนาจในที่ทำงาน
นั่นคือเหตุผลที่คุณควรใส่ใจความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าและผู้ใต้บังคับบัญชา
น่าเสียดายที่การใช้อำนาจในทางที่ผิดและการล่วงละเมิดในที่ทำงานเป็นเรื่องปกติในห้องครัว — โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจ้างคนที่ไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวไปข้างต้น
อย่าลืมลงโทษพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมนี้!
6. เป็นแบบอย่างที่ดี
การสอนพนักงานให้ปฏิบัติต่อกันอย่างดี แต่ตัวเองกลับทำในสิ่งตรงกันข้ามนั้นดูไม่ฉลาด
ฝึกฝนทักษะการสื่อสารที่กล่าวไปข้างต้น และพยายามแสดงความเมตตาและยุติธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนเสมอ
หมายเหตุ: แม้ว่าเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงการทำงานเป็นทีมได้ แต่มันจะไม่มีประโยชน์เลยหากคุณจ้างพนักงานที่ไม่มีศักยภาพตั้งแต่ต้น
สร้างเป้าหมายที่แตกต่างกันสำหรับทีมแต่ละทีม
วิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีและการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานร้านอาหารคือ การสร้างเป้าหมายที่แตกต่างกันสำหรับทีมแต่ละทีม ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในครัว พนักงานทำความสะอาด หรือพนักงานเสิร์ฟ
แนะนำให้ใช้ โมเดล SMART เพื่อสร้างเป้าหมาย
สิ่งนี้จะช่วยให้คุณ:
- ปรับปรุงการทำงานเป็นทีม
- เพิ่มศักยภาพของพนักงานแต่ละคน
- ลดความผิดพลาดในกิจกรรมประจำวัน
- และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานและการดำเนินงานของร้านอาหารโดยรวม
คุณต้องสร้างเป้าหมายสำหรับแต่ละทีม และสำหรับพนักงานแต่ละคน
สิ่งนี้ควรมาพร้อมกับแรงจูงใจในการทำงานด้วย!
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างของเป้าหมายต่างๆ ที่คุณสามารถสร้างขึ้นเพื่อใช้กับกลุ่มร้านอาหารได้
เป้าหมายสำหรับบริกร
บริกรเป็นส่วนสำคัญของพนักงานในร้านอาหาร ทำให้ง่ายต่อการกำหนดเป้าหมายให้กับพวกเขา
คุณสามารถกำหนดเป้าหมายเช่น:
- ลดข้อผิดพลาดในการรับออเดอร์จากลูกค้า คุณสามารถตั้งเป้าหมายให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยกว่า 10 รายการต่อเดือน ขึ้นอยู่กับขนาดของร้านอาหารของคุณ
- บริกรทุกคนควรรู้จักเมนูทุกเมนู รวมถึเมนูพิเศษด้วย
- ปรับปรุงความเร็วในการให้บริการ คุณสามารถมอบหมายให้หัวหน้าบริกรกำหนดเวลาที่พนักงานเสิร์ฟแต่ละคนใช้ในการนำอาหารไปเสิร์ฟที่โต๊ะ และสามารถเก็บเวลาส่วนต่างไปใช้เป็นเวลาพักได้
- ปฏิบัติตามกฎการแต่งกายและสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ
- คิดหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อปรับปรุงการให้บริการและทดลองใช้มัน นี่อาจจัดให้เป็นกิจกรรมของทีมบริกร
- รักษาพื้นที่กลางแจ้งให้สะอาด สิ่งนี้จะช่วยคุณในเรื่องของ การปรับปรุงพื้นที่ภายนอกของร้านอาหารของคุณ และจะทำให้ร้านอาหารดูดีตั้งแต่มองจากข้างนอก
คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าบริกรเพื่อสร้างเป้าหมายเหล่านี้
ตัวอย่างเป้าหมายสำหรับพนักงานในครัว
เป้าหมายของพ่อครัว ผู้ช่วยพ่อครัว และพนักงานทำความสะอาด จะแตกต่างกันไปตามขั้นตอนการทำงานที่คุณสร้างขึ้นมาสำหรับร้านอาหารของคุณ
นี่คือตัวอย่างบางส่วน:
- ปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความเร็วในการเตรียมอาหาร
- ปรับปรุงความสะอาดของพื้นที่ในครัว สำหรับเรื่องนี้ คุณจะต้องได้รับการสนับสนุนจาก รองกุ๊ก หรือผู้จัดการสถานีต่างๆ
- ปรับการใช้ส่วนผสมและสัดส่วนต่างๆ
- ใช้โปรโตคอลความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ สำหรับเป้าหมายนี้ คุณสามารถกำหนดจำนวนอุบัติเหตุขั้นต่ำต่อเดือนได้ มันไม่ควรจะสูงมาก
- ปรับปรุงสัดส่วนการทำอาหาร
- เพิ่มกำลังการผลิต
- สร้างสรรค์และทดลองทำเมนูใหม่ๆ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ คุณจะต้องสื่อสารอย่างต่อเนื่องและโปร่งใสกับพนักงานในครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพนักงานที่มีตำแหน่งสูงกว่า
หมายเหตุ: เพื่อลดความเสียหายจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น คุณควรมีแผน ครอบคลุมความเสี่ยงของร้านอาหารด้วยการประกันภัย
ตัวอย่างเป้าหมายสำหรับพนักงานทำความสะอาด
เป้าหมายของพนักงานทำความสะอาดขึ้นอยู่กับความเรียบร้อยและสภาพแวดล้อมของร้านอาหารแต่ละแห่ง
โดยทั่วไป คุณต้องการส่งเสริมเป้าหมายเฉพาะสำหรับประเภทของร้านอาหารที่คุณดำเนินการและอุปกรณ์ที่ใช้ในร้านอาหาร
ตัวอย่างเช่น:
- ทำความสะอาดเครื่องตัดทุกวัน
- ทำความสะอาดเครื่องทำน้ำแข็งทุกสัปดาห์
- ทำความสะอาดหน้าต่างและตู้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการร้องเรียนจากแขกเกี่ยวกับสุขอนามัยของร้านอาหาร
สิ่งเหล่านี้ต้องการการสื่อสารระหว่างทีมงานหน้างานและหัวหน้าทีมทำความสะอาด ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
เพราะว่า ในกรณีที่มีการร้องเรียน ผู้รับประทานอาหารจะไม่รายงานโดยตรงต่อทีมทำความสะอาด แต่จะแจ้งกับบริกรหรือพนักงานต้อนรับ
ตัวอย่างเป้าหมายสำหรับพนักงานทุกคน
เป้าหมายสำหรับพนักงานทุกคนสามารถมีลักษณะที่แตกต่างกันได้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น:
- เพิ่มความเร็วในการให้บริการทุกประเภทในร้านอาหาร
- หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างทีมต่างๆ
- ปรับกระบวนการให้เหมาะสมเพื่อให้การทำงานลื่นไหลขึ้น
- หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดในการสื่อสารระหว่างทีม
เป้าหมายเหล่านี้ต้องการการทำงานเป็นทีมอย่างมาก - นั่นคือเหตุผลว่าทำไมทีมเวิร์คจึงสำคัญ!
ทำทุกอย่างให้เป็นระบบ จัดระเบียบพนักงาน แล้วคุณจะรุ่ง!
กุญแจสำคัญในการนำร้านอาหารไปสู่ความสำเร็จคือการจัดการพนักงานและทรัพยากรที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม งานนี้แบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าส่วนงานไหนสำคัญที่สุด
การจัดระเบียบพนักงานและหัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลของร้านอาหารมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากมันต้องเชื่อมโยงกันอย่างถูกต้อง
ต่อไปจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงระบบและพนักงานของคุณ เพื่อให้คุณสามารถรักษาระดับผลผลิตที่ดีในร้านอาหารของคุณได้
เคล็ดลับสำหรับผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลร้านอาหาร
มีเคล็ดลับมากมายสำหรับผู้จัดการร้านอาหารที่คุณสามารถนำไปใช้ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ แนวทางที่เป็นประโยชน์ ปฏิบัติได้จริง ยืดหยุ่น และเป็นระบบ
เคล็ดลับต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์ในการจัดระเบียบตัวคุณเอง:
1. สร้างนิสัยและกิจวัตรที่คุณทำซ้ำได้อย่างสม่ำเสมอ
การสร้างนิสัยและกิจวัตร จะช่วยให้คุณทำงานในแต่ละวันได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ดีในการคงความกระฉับกระเฉงในช่วงเช้าตรู่ หลังจากทำเรื่องง่าย ๆ เสร็จแล้ว คุณสามารถจดจ่อกับกิจกรรมหนึ่งหรือสองอย่างที่ต้องการสมาธิ
เมื่อคุณเข้าสู่ โซน คุณจะพบว่าการบริหารงานร้านอาหารของคุณจะกลายเป็นเรื่องง่าย
นี่คือสิ่งที่คุณควรส่งเสริมเมื่อจัดการพนักงานร้านอาหารของคุณ
2. สร้างรายการสิ่งที่ต้องทำ
ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของร้านอาหารต้องทำหน้าที่หลายอย่าง
รายการสิ่งที่ต้องทำเป็นวิธีที่ดีเพื่อให้ทำงานได้อย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ควรเป็นแค่รายการชุ่ยๆ
เราขอแนะนำให้ร่างโครงสร้างขององค์กรอย่างง่าย เพื่อจะช่วยให้คุณดูแลทุกสิ่งที่คุณต้องทำอย่างมีระบบ
สิ่งสำคัญคือคุณต้องใส่รายการที่ยากหรือสำคัญที่สุดไว้ที่ด้านบนสุด เพื่อที่คุณจะได้ทำงานสำคัญให้เสร็จได้โดยไม่สะดุด
แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่รวมถึงรายการในกิจวัตรของคุณ — เน้นเฉพาะสิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเท่านั้น
3. ใช้เครื่องมือจัดระเบียบเวลา
แอพจัดการเวลา เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการจัดการชีวิตส่วนตัวและอาชีพของคุณ
เมื่อคุณเริ่มใช้งาน หรือเพียงเพื่อวัดเวลาที่คุณใช้ในแต่ละกิจกรรม คุณจะรู้ว่าคุณอาจเสียเวลาไปเท่าไรต่อวัน
แน่นอน เคล็ดลับของแอปพลิเคชันประเภทนี้คือ เพื่อประมาณการว่าในแต่ละกิจกรรมคุณจะใช้เวลาไปกับมันเท่าไหร่
วิธีที่มีประสิทธิภาพในการใช้แอปนี้คือ การแบ่งเวลาย่อยๆ และกำหนดประเภทของกิจกรรม ให้กับเวลาเหล่านั้น แทนที่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับกิจกรรมเดียว
ตัวอย่างเช่น ในชั่วโมงแรกของวัน คุณสามารถทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ "การตรวจสอบพื้นที่ทำงาน" ได้ ในขณะที่สำรวจแต่ละสถานีอย่างรอบคอบ
ในเวลาอันสั้น คุณจะรู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดในการทำกิจกรรมแต่ละประเภทให้เสร็จ และคุณจะพยายามที่จะทำให้เสร็จในเวลาที่กำหนดไว้หรือคงเวลาเฉลี่ยไว้
4. คิดเชิงรุก คิดวิธีป้องกัน และคิดล่วงหน้า
การคิดเชิงรุก คิดวิธีป้องกัน และคิดล่วงหน้าจะทำให้คุณได้เปรียบในการทำงานในอนาคต มากกว่าในปัจจุบัน
คุณจะต้องมองไปในอนาคต ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงานโดยแนะนำพวกเขาล่วงหน้า ตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในร้านอาหาร และวิธีเชิงรุกในการแก้ไขข้อผิดพลาดและปัญหา
การจัดการเป็นเรื่องของการคิดแบบมีกลยุทธ์!
5. สร้างเป้าหมายที่วัดผลได้สำหรับตัวคุณเองในฐานะผู้จัดการ
เราพูดถึงเป้าหมายของพนักงานไปแล้ว แต่เป้าหมายของผู้จัดการกลับไม่ได้พูดถึง!
เป้าหมายของผู้จัดการคือการสร้างกลยุทธ์ที่ทำให้พนักงานทำงานได้ดีขึ้น พัฒนาและปรับปรุงพวกเขา และจัดเป็นแนวทางปฏิบัติผลลัพธ์ออกมาดี
เป้าหมายของคุณคือการช่วยให้พนักงานบรรลุเป้าหมาย!
คุณทำได้โดยการจัดระเบียบและให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่พวกเขา
6. ผู้แทน
บ่อยครั้ง ผู้จัดการไม่ได้มือเปื้อน หมายถึงว่า เขาไม่ได้ลงไปปฏิบัติงานเอง แต่เขาแค่มอบหมายงานให้ผู้อื่น
อาจมองว่าเป็นความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม การมอบหมายงานอาศัยการตัดสินใจที่ชาญฉลาด ซึ่งจะทำให้ผู้จัดการจัดระเบียบได้ง่ายขึ้น
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณสามารถมอบหมายงานได้หรือไม่? โดยทั่วไป งานที่คุณจะมอบหมายแบ่งได้เป็นสองประเภท: งานที่ง่ายมาก และงานที่ยากมาก
สิ่งที่ควรตระหนักคือ คุณต้องมอบหมายสิ่งที่ง่ายกว่า ในขณะที่คุณดูแลสิ่งที่ยากกว่าเป็นการส่วนตัว ทำไมต้องทำแบบนั้น?
เพราะผู้จัดการฝ่ายบุคคลร้านอาหารไม่ได้รับการยกเว้นจากการเสริมจุดอ่อนของเขา!
7. ติดตามแนวโน้มการบริหารพนักงานร้านอาหาร
อีกวิธีหนึ่งในการปรับปรุงจุดอ่อนของคุณคือ การรับข่าวสารเกี่ยวกับแนวโน้มทางเทคโนโลยีหรือระเบียบวิธีในการจัดการพนักงานร้านอาหาร
มีวิธีมากมายที่สามารถช่วยคุณจัดการพนักงานร้านอาหารได้
ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ ณ จุดขาย Waiterio เป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดที่คุณสามารถใช้บริการด้านการจัดการเวลา จัดการพนักงานร้านอาหาร ออกแบบเมนู ตรวจสอบรายงานการขาย และอื่นๆ
ตั้งกฎสำหรับพนักงานร้านอาหารแต่ละคน
การกำหนดกฎเกณฑ์การทำงานสำหรับพนักงานร้านอาหารแต่ละคนเป็นสิ่งที่คุณต้องทำตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงาน
มีกฎหลายประเภทที่ต้องพิจารณาก่อนสร้างชุดกฎสำหรับแต่ละทีม
ด้านล่างนี้ คุณจะพบกฎที่พบบ่อยที่สุด
กฎของสุขอนามัยส่วนบุคคลและการนำเสนอ
สุขอนามัยเป็นส่วนสำคัญของร้านอาหาร นั่นคือเหตุผลที่อุปกรณ์การทำอาหารและอุปกรณ์ทำความสะอาดเป็นส่วนสำคัญของรายการของ อุปกรณ์ครัวสำหรับร้านอาหารทุกชิ้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะไม่ใช่แค่ร้านอาหารต้องสะอาด แต่รวมถึงพนักงานทุกคนด้วย
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กฎของสุขอนามัยส่วนบุคคลจึงควรมีกฎเกี่ยวกับรูปลักษณ์ส่วนบุคคล ความสะอาดของเครื่องแบบ กฎการล้างมือ การใช้น้ำหอม และอื่นๆ
กฎความปลอดภัย
เนื่องจากความปลอดภัยในอุตสาหกรรมมีความสำคัญมากในร้านอาหาร คุณจะต้องกำหนดกฎความปลอดภัยบางประการ
เช่น ใส่รองเท้ากันลื่นในห้องครัว ใช้ป้าย "พื้นเปียก" เมื่อจำเป็น สวมถุงมือพิเศษเพื่อเอาของร้อนออกจากเตาอบ (ไม่ใช้ผ้า!) และมีสามารถจดจำมาตรการและระเบียบปฏิบัติด้านความปลอดภัยของร้านอาหารได้
สิ่งนี้ไม่เพียงใช้กับพนักงานในครัวเท่านั้น แต่พนักงานทุกคนควรตระหนักถึงกฎเหล่านี้ไม่ว่าจะทำงานอยู่ส่วนไหนก็ตาม
หมายเหตุ: เนื่องจากการระบาดของไวรัส คุณควรพิจารณาเพิ่ม กฎความปลอดภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย
กฎการบริการ การศึกษา และการติดต่อกับลูกค้า
สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดสำหรับบริกร
พวกเขาควรปฏิบัติต่อผู้ที่มารับประทานอาหารเป็นอย่างดีด้วยความสุภาพและมารยาทที่ดี พูดให้ชัดเจนและรัดกุม เอาใจใส่ต่อความต้องการของพวกเขา เอาใจใส่ความต้องการของเพื่อนร่วมทีม และอื่นๆ
หากใช้อย่างถูกต้องจะทำให้เกิดความประทับใจในการใช้บริการที่ร้านอาหาร!
กฎของการหยุดพัก
เวลาพักของร้านอาหารควรมีกฎเกณฑ์ด้วย
ตัวอย่างเช่น กฎเกี่ยวกับความยาวของช่วงพัก สถานที่ที่จะหยุดพัก กิจกรรมที่สามารถทำได้หรือไม่สามารถทำได้ในช่วงพัก และอื่นๆ
นี่เป็นสิ่งสำคัญในการหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ เช่น พนักงานใช้เวลาในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม (เช่น ต่อหน้าลูกค้า) เป็นต้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการใช้ช่วงพักที่เหมาะสม
ให้รางวัลการทำงานที่ดีและการลงโทษเมื่อจำเป็น
หากมีกฎเกณฑ์ ก็จะมีคนที่ปฏิบัติตามกฎ และคนที่ไม่ปฏิบัติตาม
นอกจากจะชัดเจนเมื่อตั้งกฎแล้ว คุณต้องตั้งบทลงโทษเมื่อมีคนทำผิดกฎด้วย
ในบางกรณีจำเป็นต้องเลิกจ้าง
ความรับผิดชอบที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลคือ การรู้ว่าเมื่อใดควรไล่พนักงานออก
มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อต้องบริหารจัดการพนักงานร้านอาหาร
ด้วยเหตุผลดังกล่าว คุณต้องสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าพนักงานคนใด ไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้อีกต่อไป
เพื่อให้มันไม่ยุ่งยากจนเกินไป คุณจึงต้องพึ่งพากฎ - และพนักงานทุกคนควรรับทราบ
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเลิกจ้างมีดังต่อไปนี้
- ทำงานไม่เต็มความสามารถ
- ละเลยงานที่ได้รับมอบหมายหรือเสียเวลามากในการทำงานให้เสร็จ
- มาสายหลายครั้งหรือไม่มาทำงานโดยไม่แจ้งล่วงหน้าซ้ำๆ
- พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในพื้นที่ทำงาน ตัวอย่างเช่น การมึนเมาหรือการล่วงละเมิดในที่ทำงาน
- ขโมยของใช้ในครัวหรือวัตถุดิบ
- การไม่เชื่อฟัง
- ทำผิดกฎมากกว่าหนึ่งครั้ง
ขอแนะนำให้คุณมองว่าการเลิกจ้างเป็นทางเลือกสุดท้าย เมื่อคุณได้ตรวจสอบแล้วว่าทัศนคติของพนักงานไม่ดีขึ้น กลยุทธ์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพไม่ช่วยให้ดีขึ้น การคว่ำบาตรไม่มีผล และเมื่อการฝึกอบรมไม่สามารถช่วยได้
หวังว่าคุณจะไม่ต้องเผชิญกับความท้าทายนี้ในในฐานะของผู้จัดการ มิฉะนั้น คุณจะต้องเริ่มกระบวนการจ้างงานอีกครั้ง!
ยืดหยุ่น ปรับตัวได้ และเอาใจใส่
ผู้จัดการร้านอาหารควรมีความยืดหยุ่นและเอาใจใส่เมื่อต้องติดต่อกับพนักงาน
ไม่ว่าคุณจะมีแผนและเป้าหมายเยี่ยมยอดแค่ไหน ทุกอย่างไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเสมอไป
นั่นคือเหตุผลที่คุณควรมีแผนสำรอง (A, B, C เป็นต้น) เพื่อให้คุณสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม
คุณจะต้องเรียนรู้ด้วยว่าหากแผนบางอย่างล้มเหลว หรือในกรณีที่มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น คุณจะต้องตัดสินใจให้ถูกต้องตามวิจารณญาณที่ดีที่สุดของคุณ
นอกจากนี้ คุณควรมีมารยาทและเห็นอกเห็นใจพนักงาน — พวกเขาก็เป็นคน!
ความผิดพลาดของพนักงานเป็นที่ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง สามารถเสริมจุดอ่อนได้ และสามารถสอนและฝึกอบรมให้ดีขึ้นได้
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคลของคุณ และหากไม่มั่นใจ ให้ลองคิด ว่าคุณอยากได้รับความช่วยเหลืออย่างไร ถ้าคุณเป็นพวกเขา
บริหารจัดการพนักงานให้ดีเพื่อให้ร้านอาหารของคุณดำเนินได้อย่างราบรื่น
พนักงานของร้านอาหาร — หรือของทุกธุรกิจอื่นๆ — เป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนเครื่องจักรและอุปกรณ์ของร้านอาหารของคุณ
หากไม่มีพวกเขา คุณจะไม่สามารถจัดการหลายขั้นตอน ที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของร้านอาหารที่ดีได้
คุณต้องการความช่วยเหลือในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานของคุณหรือไม่?
Waiterio สามารถช่วยคุณวัดผลการปฏิบัติงานของพนักงานของคุณ เพื่อดูว่าพนักงานเสิร์ฟคนไหนที่สร้างรายได้ให้กับร้านอาหารของคุณได้มากกว่า และคุณจะสามารถตัดสินใจได้โดยอิงจากข้อมูลจริง
เริ่มปรับปรุงการจัดการพนักงานร้านอาหารของคุณวันนี้!