กำไรเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจทุกประเภท ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตรากำไรในธุรกิจอาหารของคุณ
ในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการคำนวณอัตรากำไร และบอกเคล็ดลับในการเพิ่มผลกำไรในธุรกิจของคุณ
มาเริ่มกันเลย!
อัตรากำไรเฉลี่ยสำหรับร้านอาหารคือเท่าไหร่?
ความจริงก็คือ อัตรากำไรเฉลี่ยสำหรับร้านอาหารนั้นแตกต่างกันไปตามปัจจัยต่างๆ ไม่มีใครสามารถคาดเดาตัวเลขที่แน่นอนสำหรับผลกำไรของร้านอาหารของคุณได้
อัตรากำไรจะขึ้นอยู่กับทำเลของร้านอาหาร เทรนของตลาด ความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องใช้ สภาพเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย
ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา อัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10% อย่างไรก็ตามในเม็กซิโก ร้านอาหารสามารถคาดหวังอัตรากำไรเฉลี่ยที่ 20% ดังนั้น อัตรากำไรเฉลี่ยจึงขึ้นอยู่กับสถานที่และปัจจัยอื่น ๆ
นอกจากนี้ พึงระลึกว่า แม้ว่ากำไรจะคำนวณเป็นสกุลเงินของคุณ (เช่น บาท) อัตรากำไรจะแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์เสมอ
อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ
เป็นเรื่องปกติที่เจ้าของร้านอาหารจะสับสนระหว่างอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เข้าใจสถานะทางการเงินในร้านอาหารของคุณได้ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องทราบความแตกต่างระหว่างสองคำนี้
มาดูความแตกต่างของพวกมันกันเถอะ:
อัตรากำไรขั้นต้นคืออะไร?
กำไรขั้นต้นคือ สิ่งที่เหลือหลังจากหักต้นทุนสินค้า (วัตถุดิบ) จากรายได้ของร้านอาหาร
- กำไรขั้นต้น = ราคาขาย - ต้นทุนสินค้า (สินค้าคงคลัง)
- อัตรากำไรขั้นต้น = ( กำไรขั้นต้น / ราคาขาย) x 100%
มาดูตัวอย่างกันดีกว่า สมมติว่าคุณขายเบอร์เกอร์
189 บาท แต่ต้นทุนสินค้า (เช่น เนื้อวัว ชีส ฯลฯ ) สำหรับทำเบอร์เกอร์คือ 95 บาท
- กำไรขั้นต้น = 189 - 95 = 94 บาท
- อัตรากำไรขั้นต้น = (94 / 189) x 100 ซึ่งเท่ากับประมาณ 50%
ตัวเลขนี้ช่วยให้คุณทราบถึงประสิทธิภาพในการทำกำไรของร้านอาหารของคุณ แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้บอกผลกำไรที่แท้จริงของร้านอาหาร เนื่องจากกำไรขั้นต้น ไม่ได้คำนวณต้นทุนทั้งหมดในการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร
อัตรากำไรสุทธิสำหรับร้านอาหารคืออะไร?
กำไรสุทธิคือ สิ่งที่เหลือหลังจากหักต้นทุนทั้งหมดในการดำเนินธุรกิจจากกำไรขั้นต้น ซึ่งได้แก่ ค่าเช่า เงินเดือนพนักงาน ต้นทุนการบริหาร ภาษี ค่าซ่อมแซมร้าน ฯลฯ
กำไรสุทธิเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะมันแสดงให้เห็นว่าร้านอาหารของคุณประสบความสำเร็จและทำกำไรได้มากแค่ไหน
นี่คือสูตรคำนวณอัตรากำไรสุทธิของร้านอาหาร:
- กำไรสุทธิ = รายได้รวม - ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- อัตรากำไรสุทธิ = [กำไรสุทธิ÷รายได้] x 100
มาลองคำนวณกำไรสุทธิกัน สมมติว่า รายได้รวมของคุณคือ 3.5 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคุณคือ 2.5 ล้านบาท
- กำไรสุทธิ = 3.5 ล้านบาท - 2.5 ล้านบาท = 1 ล้านบาท
- อัตรากำไรสุทธิ = 1 / 3.5 ซึ่งเท่ากับประมาณ 0.3 หรือ 30%
อัตรากำไรสำหรับร้านอาหารประเภทต่างๆ
ดังที่เราได้อธิบายไปข้างต้นว่า ค่อนข้างยากที่จะทราบ 'อัตรากำไรเฉลี่ย' ที่แน่นอน อย่างไรก็ตาม เราสามารถเปรียบเทียบอัตรากำไรสัมพัทธ์ระหว่างร้านอาหารประเภทต่างๆ ได้ เช่น "บริการเต็มรูปแบบ (Full service)" "อาหารจานด่วน" "รถบรรทุกอาหาร" เป็นต้น
- ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ : โดยปกติแล้วอัตรากำไรของร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบจะต่ำที่สุดในบรรดาร้านอาหารประเภทต่างๆ อย่างไรก็ตาม ด้วยการจัดการและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสม ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบสามารถทำกำไรได้มากกว่าเช่นกัน
- ร้านอาหารจานด่วน : โดยปกติแล้วร้านอาหารจานด่วนมักจะมีอัตรากำไรสูงที่สุดในบรรดาร้านอาหารประเภทต่างๆ เนื่องจากมีพนักงานน้อย และใช้ส่วนผสมราคาไม่แพง นอกจากนี้ มักจะมียอดขายสูงอีกด้วย
- รถบรรทุกอาหาร : เช่นเดียวกับร้านอาหารจานด่วน รถบรรทุกอาหารก็มีอัตรากำไรสูงเช่นกัน บางครั้งรถบรรทุกอาหารอาจมีอัตรากำไรสูงกว่าร้านอาหารจานด่วน แต่โดยปกติแล้วมักจะมียอดขายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับร้านอาหารจานด่วน
เราจะเพิ่มอัตรากำไรของร้านอาหารได้อย่างไร?
เพื่อเพิ่มอัตรากำไรของร้านอาหาร คุณสามารถลองทำตามสองวิธีดังต่อไปนี้:
- เพิ่มยอดขาย
- ลดต้นทุน
มาพูดถึงวิธีการนำไปใช้จริงกันดีกว่า:
ก. การเพิ่มยอดขาย
หมายเหตุ: การเพิ่มยอดขายจะไม่ลดต้นทุนสินค้า ดังนั้น กำไรขั้นต้นจะเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนโดยรวมคงที่ อาทิ ค่าเช่าที่ ค่าสาธารณูปโภค และการบำรุงรักษา
1. มีบริการสั่งซื้อออนไลน์
หากร้านอาหารของคุณยังไม่มีบริการจัดส่งหรือซื้อกลับบ้านผ่านช่องทางออนไลน์ คุณควรเริ่มเปิดบริการนี้โดยเร็วที่สุด ในปัจจุบันลูกค้ามักสั่งซื้อทางออนไลน์ เมื่ออยากใช้บริการจัดส่งอาหารหรือซื้ออาหารกลับบ้าน
ดังนั้น การมีเว็บไซต์ร้านอาหารที่สามารถรับออเดอร์ออนไลน์ได้ จึงสามารถเพิ่มยอดขายได้อย่างมาก
เจ้าของร้านอาหารส่วนใหญ่มักกังวลเกี่ยวกับความยุ่งยากและค่าใช้จ่ายในการจัดการและดูแลเว็บไซต์ร้านอาหาร
โชคดีที่เทคโนโลยีในปัจจุบันนี้พัฒนาขึ้นมาก มีบริการสร้างเว็บไซต์ร้านอาหารให้กับคุณโดยไม่จำเป็นต้องจ้างวิศวกรซอฟต์แวร์ ตัวอย่างเช่น บริการสร้างเว็บไซต์ร้านอาหาร Waiterio ที่จะช่วยสร้างและดูแลเว็บไซต์ร้านอาหารของคุณโดยอัตโนมัติและไม่เสียค่าใช้จ่าย
ดังนั้น เริ่มเปิดบริการรับออเดอร์ออนไลน์และเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น!
2. ทำการเปลี่ยนแปลงเมนู
เมนูเป็นส่วนสำคัญของร้านอาหารที่สามารถสร้างกำไรได้ ราคาของรายการอาหารมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสามารถในการทำกำไรของร้านอาหารของคุณ
อาจมีเมนูอาหารบางรายการที่มีอัตรากำไรสูง แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าของคุณ ออกแบบเมนูใหม่เพื่อขายสินค้าเหล่านี้ให้มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น จัดวางเมนูอาหารดังกล่าวไว้ด้านบนของเมนู หรือ ไฮไลต์ให้ดึงดูดความสนใจ หรืออาจจะลองจ้างนักออกแบบกราฟิก เพื่อทำให้เมนูร้านอาหารของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น
ด้วยวิธีนี้คุณสามารถเพิ่มยอดขายและทำกำไรได้มากขึ้น
3. ตรวจรายงานการขายอยู่เป็นประจำ
คุณไม่สามารถเพิ่มผลกำไรได้ หากคุณไม่เข้าใจรายงานการขายในร้านอาหารของคุณ
รายงานการขายจะบอกข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญ เช่น รายการใดขายได้มากที่สุด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังบอกกำไรที่มาจากแต่ละรายการอาหาร ใช้ข้อมูลนี้เพื่อขยายธุรกิจของคุณอย่างมีกลยุทธ์
ตัวอย่างเช่น หลังจากดูรายงานการขายแล้วคุณพบว่า 42% ของยอดขายมาจากเบอร์เกอร์ไก่ แสดงว่าคุณจะต้องมีเบอร์เกอร์ไก่อยู่เสมอ คุณยังสามารถนำเสนอเมนูเบอร์เกอร์ใหม่ๆได้อีกด้วย เช่น 'เบอร์เกอร์ไก่คู่กับชีสพิเศษ'
หรืออาจจะลองเพิ่มราคาเบอร์เกอร์ขึ้นเล็กน้อย เพื่อสร้างรายได้ของร้านอาหารให้มากขึ้น
หมายเหตุ: สิ่งสำคัญคือต้องมีระบบ POS ที่ประมวลผลและแสดงรายงานการขายโดยละเอียดสำหรับทุกรายการอาหารในเมนูของคุณ
4. สร้างตัวตนออนไลน์
ทราบหรือไม่ว่า 85% ของผู้คนค้นหาร้านอาหารของคุณบนกูเกิล (Google) ก่อนจะไปที่ร้านของคุณ การลงทะเบียนร้านอาหารของคุณใน "Google My Business" จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
ร้านอาหารของคุณควรได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก นอกจากนี้ คุณยังสามารถเชื่อมโยงโซเชียลมีเดียต่างๆ เข้าด้วยกันได้ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) ไอจี (Instagram) และ ทวิตเตอร์ (Twitter) เป็นต้น เพื่อสร้างตัวตนของร้านอาหารของคุณบนโลกออนไลน์ให้มากขึ้น
5. โปรโมทร้านอาหารของคุณ
มีหลายวิธีในการโปรโมทหรือโฆษณาร้านอาหาร เรา ไม่ได้ พูดถึงแคมเปญการตลาดขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
มีหลายวิธีในการโปรโมทร้านอาหารของคุณโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือ อาจจะมีค่าใช้จ่ายแต่ไม่แพง
ตัวอย่างเช่น การทำให้ร้านอาหารของคุณค้นหาง่ายบนโซเชียลมีเดีย เป็นวิธีการเพิ่มจำนวนลูกค้าได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การโฆษณาบนเฟซบุ๊ก หรือบนสื่อพิมพ์ท้องถิ่น ก็เป็นวิธีการที่ไม่ใช้ค่าใช้จ่ายมาก เพื่อให้ลูกค้าเห็นร้านอาหารของคุณได้มากขึ้น
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การทำการตลาดสำหรับร้านอาหาร ในบทความนี้
ข. การลดต้นทุน
การลดต้นทุนเพิ่มผลกำไรให้กับคุณโดยตรง มาดูกันว่าคุณจะลดค่าใช้จ่ายในร้านอาหารได้อย่างไร
1. ลดต้นทุนส่วนผสม
ต้นทุนส่วนผสมเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดสำหรับร้านอาหาร ต่อไปนี้คือวิธีการลดต้นทุนส่วนผสม:
- ค้นหาเจ้าที่ขายถูกกว่า: หากคุณสามารถหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพเท่ากันได้ในราคาที่ถูกกว่าได้ นั้นก็จะช่วยลดต้นทุนของอาหารได้อย่างแน่นอน
- ลดปริมาณอาหาร: ตัวอย่างเช่น ขายเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ 230 กรัม แทน 270 กรัม
- ลดปริมาณของส่วนผสมที่ใช้: ตัวอย่างเช่น ลดปริมาณชีสและไก่ที่ใช้ในการทำเบอร์เกอร์เล็กน้อย
2. ควบคุมต้นทุนแรงงาน
คุณต้องรักษาสมดุลระหว่างการทำให้พนักงานของคุณมีความสุข และการสร้างผลกำไรที่ดีให้กับร้านอาหารของคุณ
หาข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างโดยเฉลี่ยสำหรับพนักงานร้านอาหารในพื้นที่ของคุณ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณไม่ได้จ่ายเงินให้พนักงานมากเกินไป นอกจากนี้ คุณสามารถให้โบนัสเล็กน้อยเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้
3. วิเคราะห์เมนูของคุณ
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า การหมั่นปรับปรุงเมนูร้านอาหารของคุณเป็นสิ่งสำคัญ
วิธีที่ดีที่สุดในการกำหนดราคาของเมนูอาหารคือ การใช้ 'สูตรต้นทุนอาหาร' ซึ่งเราได้พูดถึงโดยละเอียดในบทความ ' การคำนวณเปอร์เซ็นต์ต้นทุนอาหาร '
กล่าวโดยย่อคือราคาของต้นทุนอาหารควรอยู่ที่ 25-35% ของราคาขาย ตัวอย่างเช่น หากต้นทุนของส่วนผสมสำหรับเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่คือ 135 บาท คุณควรกำหนดราคาของเบอร์เกอร์ไว้ที่อย่างน้อย 385 บาท (35% ของ 385 บาท = 135 บาท)
ดังนั้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้กำหนดราคาของทุกเมนูอย่างถูกต้อง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การกำหนดราคาเมนูอาหาร ได้ที่นี่
4. ลดการสูญเสียและการโจรกรรม
ของหายเป็นปัญหาที่พบบ่อยในร้านอาหาร การโจรกรรมเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยเช่นกัน
การตรวจสอบสินค้าคงคลังเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ มันจะทำให้คุณพบเห็นปัญหาเหล่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้ได้อย่าง 100%
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การจัดการสินค้าคงคลังของร้านอาหาร ได้ในบทความนี้
เคล็ดลับ: ใช้ซอฟต์แวร์การจัดการร้านอาหารเพื่อจัดการธุรกิจของคุณให้ดีขึ้น
เช่นเดียวกับที่กล่าวไปข้างต้น เทคโนโลยีได้พัฒนาไปมากและมีระบบมากมายที่ช่วยให้การจัดการร้านอาหารง่ายขึ้นสำหรับเจ้าของร้านอาหาร
ซอฟต์แวร์ดังกล่าวสามารถสร้างรายงานการขาย จัดการออเดอร์ ติดตามพนักงาน และทำสิ่งอื่น ๆ ได้อีกมากมาย
มีตัวเลือกมากมายในตลาด แต่ถ้าคุณยังไม่เคยใช้ซอฟต์แวร์ตัวไหนมาก่อน เราขอแนะนำให้คุณลองใช้ ซอฟต์แวร์การจัดการร้านอาหารของเรา Waiterio เนื่องจากเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่าย และคุณสามารถทดลองใช้ซอฟต์แวร์ได้ฟรี
คลิกที่นี่ เพื่อดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ Waiterio
สรุป
ต่อไปเป็นการสรุปทุกอย่างที่เราได้พูดถึงในบทความนี้
อัตรากำไรที่ควรจะเป็นสำหรับร้านอาหารหรือรถขายอาหารคืออะไร?
ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนสำหรับความถามข้างต้น เพราะอัตรากำไรจะแตกต่างกันอย่างมากตามสถานที่ตั้งและปัจจัยอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เราสามารถพูดได้ว่ารถบรรทุกอาหารและร้านอาหารจานด่วนค่อนข้างมีอัตรากำไรสูงกว่าร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ
วิธีคำนวณอัตรากำไรสำหรับร้านอาหาร?
นี่คือสูตร:
- กำไร = รายได้ทั้งหมด - ต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมด (ส่วนผสม + เงินเดือน + ค่าเช่า + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ )
- อัตรากำไร = (กำไร / รายได้รวม) x 100%
จะเพิ่มอัตรากำไรของคุณได้อย่างไร?
คุณสามารถเพิ่มอัตรากำไรได้โดย:
- เพิ่มยอดขาย
- ลดต้นทุน
นั่นคือทั้งหมด ขอบคุณสำหรับการอ่าน.